Vitamin B3  Serum

฿99.00฿399.00

ล้างค่า

Vitamin B3 Serum
5 ml / 99 บาท
30 ml / 399 บาท
ซีรั่มวิตามินสารพัดประโยชน์
มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบก, แตงกวา, และชาเขียว

1.ช่วยรักษาหน้าที่หมองคล้ำหรือแดงจากแสงแดง,รอยสิว,จุดด่างดำ, ฝ้า ทำให้ผิวใสกระจ่างขึ้น

ปัญหา การใช้ผลิตภัณฑ์หน้าใสที่มีส่วนผสมของกรดอ่อน, กรดผลไม้, มะขาม, หรือขมิ้น อาจทำให้หน้าเรียบขาวใสขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ผิวหน้าอาจจะไวต่อแสงแดดขึ้น เมื่อโดนแสงแดดผิวหน้าจะหมองคล้ำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม จึงไม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์เป็นประจำทุกวันได้ หรืออาจใช้ผลิตภัณฑ์ได้ในตอนกลางคืนเท่านั้น

ทางเลือก ซีรั่มวิตามินB3เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่ปลอดภัยในการทำให้ผิวหน้าค่อยๆใสขึ้นโดยกลไกทางธรรมชาติ การผลิตเม็ดสีผิวที่ผิดปกติจะลดลงและการเคลื่อนที่ของเม็ดสีผิวไปยังผิวหน้าชั้นบนจะถูกยับยั้ง สีผิวเรียบเนียนเสมอกัน ผิวหน้าจะไม่ไวต่อแสงแดด จึงสามารถใช้เป็นประจำทุกวันได้อย่างปลอดภัยทั้ง เช้า-เย็น

2.ช่วยรักษาสิว ลดการอักเสบของสิวเรื้อรัง

ปัญหา ยารักษาสิวทั่วไป เมื่อใช้ไปนานๆอาจทำให้ผิวหน้าแห้ง เชื้ออาจดื้อยาได้ต้องเปลี่ยนยาหรือเพิ่มความเข้มข้นของยาในการรักษา

ทางเลือก ซีรั่มวิตามินB3สามารถลดการอักเสบของสิวโดยไม่ทำให้เชื้อดื้อยาเนื่องจากเป็นวิตามินทั้งยังป้องกันการหมักหมมของสิ่งสกปรกในรูขุมขน นอกจากนั้นซีรั่มวิตามินB3ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ จึงอ่อนโยนต่อผิวสามารถใช้ทุกวันได้อย่างปลอดภัย

3.ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว ลดริ้วรอย ต้านอนุมูลอิสระ

ปัญหา ผิวแห้งขาดน้ำ ถึงแม้จะใส่ครีมบำรุง รู้สึกถึงความมันบนผิวหน้า แต่ผิวหน้าก็ยังแห้งน้ำอยู่

ทางเลือก ซีรั่มวิตามินB3สามารถดูดซึมเข้าสู่ชั้นผิวด้านล่างได้ดีกว่าครีมทั่วไป นอกจากนี้วิตามินB3มีขนาดเล็กมากสามารถแทรกซึมเข้าผิวได้อย่างรวดเร็ว จึงสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวชั้นล่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิว

โดยการเพิ่มปริมาณ free fatty acid และ ceramide ในผิว ทำให้ผิวหนังแข็งแรงขึ้น ช่วยรักษาผิวหน้าที่ถูกแสงแดดและมลพิษทำลายและลดริ้วรอย

กรณีผิวแห้ง: ควรทาซีรั่มวิตามินB3ก่อนแล้วตามด้วยครีมบำรุงผิวตามปกติ ทั้งซีรั่มและครีมบำรุงผิวจะเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกันในการบำรุงผิว moisturizing effects โดยวิตามินB3จะออกฤทธิ์ดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังอย่างรวดเร็ว และครีมบำรุงผิวจะถูกดูดซึมเข้าผิวดีขึ้น+ทำหน้าที่เคลือบผิวไว้

หมายเหตุ: ถ้าครั้งแรกทาแล้วรู้สึกเหมือนมดกัดยิบยิบ/รอยแดง แสดงว่าผิวบอบบางมาก ให้ทาบางๆวันละครั้ง ประมาณ 1-3 วัน อาการดังกล่าวข้างต้นหายไปเพราะผิวปรับสภาพเข้ากับซีรั่มวิตามินB3 แล้วค่อยทาเพิ่มเป็นวันละ 2ครั้งตามปกติ

วิธีการใช้ซีรั่มวิตามิน B3:

ซีรั่มวิตามิน B3ใช้เป็นประจำได้ หน้าไม่บางลงและไวแสง ทำให้ชั้นผิวหนา + แข็งแรงขึ้น ภูมิคุ้มกันต่อสิ่งแวดล้อมจะดีขึ้น

1. ถ้าหน้าไม่มีปัญหา ใช้บำรุง ก็ทาทั่วหน้า”บางๆ” ไม่ต้องทาเยอะค่ะ เช้า-เย็น (กรณีผิวแห้ง อาจตามด้วยครีมบำรุงเพราะserumไม่มีน้ำมันเป็นส่วนผสม)

2..ถ้าทำงานออกแดดบ่อย+ผิวบอบบางจากการใช้สารกัดหน้ามานานๆ—>แนะนำให้ทา ทั่วหน้า”บางๆ” วันละ 1ครั้งตอนกลางคืน 1อาทิตย์เพื่อปรับสภาพผิว (อย่าทาเยอะในช่วงแรกๆของการใช้ค่ะ) (กรณีผิวแห้ง อาจตามด้วยครีมบำรุงเพราะserumไม่มีน้ำมันเป็นส่วนผสม) แล้วให้เริ่มใช้วันละ 2ครั้งตามปกติ
+แต้ม serumตรงที่มีปัญหาได้บ่อยๆ (จุดด่างดำ สิว หลุมสิว ฝ้า ริ้วรอย ร่องแก้ม รอยตีนกา)

เกร็ดเล็กน้อย

ผิวหน้าชุ่มชื้น เต่งตึง —> ทาserum “บางๆ” ทั่วหน้า serumช่วยhydrateผิวค่ะ ทำให้ผิวที่ขาดน้ำชุ่มน้ำขึ้น ใช้ไปพักหนึ่งผิวจะเริ่มอิ่มน้ำ แต่ถ้าแต้ม”หนาๆ”จะทำให้สิวแห้ง ผิวก็จะแห้งได้ค่ะ แต้มหนาๆให้แต้มเฉพาะจุดเอาค่ะ

ทำไมซีรั่มที่ซื้อมาครั้งนี้ ข้นขึ้น+สีเข้มขึ้น?

ไม่ต้องกังวล ซีรั่มยังดีอยู่ไม่เสีย คุณภาพต่อผิวยังเหมือนเดิมทุกประการ เพราะซีรั่มมีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติปริมาณเข้มข้น ถ้าทิ้งไว้ 2-3เดือนหลังจากวันที่ผลิต ซีรั่มจะข้นขึ้น+สีจะเข้มขึ้นมาหน่อย มีกลิ่นน้ำผึ้งขึ้น หลังจากนั้นจะคงที่ (เหมือนสมุนไพรที่บ่มไว้ สีจะเข้มขึ้น กลิ่นจะนวลขึ้น) สารออกฤทธิ์ต่างๆรวมทั้งวิตามิน B3ในซีรั่มก็ยังทนต่อความร้อนได้ดี รับประกันตลอดอายุการใช้งาน

Serum B3 กับคำถามที่พบบ่อยๆ:

1. ถ้าทำงานออกแดดบ่อย+ผิวบอบบางจากการใช้สารกัดหน้ามานานๆ —> แนะนำให้ทาทั่วหน้า”บางๆ” (1-3หยด)วันละ 1ครั้งตอนกลางคืน 1อาทิตย์เพื่อปรับสภาพผิว (อย่าทาเยอะในช่วงแรกๆของการใช้ค่ะ) แล้วให้เริ่มใช้วันละ 2ครั้งตามปกติ +แต้มตรงที่มีปัญหาได้บ่อยๆ (จุดด่างดำ สิว ฝ้า ริ้วรอย ร่องแก้ม รอยตีนกา)ได้ค่ะ

2. “บางคน” ใช้ช่วงแรกๆสิวผดขึ้น —>สงสัยจะทา ซีรั่มวิตามินB3 เยอะไปค่ะ ถ้าผิวยังบอบบางอยู่ทาเยอะผื่นจะขึ้นได้ค่ะ  ไม่ต้องกังวลค่ะ vitamin B3 มีอาการข้างเคียง(ผื่น/รอยแดง/มดกัดยิบยิบ)ค่ะ (เหมือนพวกวิตามิน C)

ถ้าผิวบอบบางให้ทำตามที่แนะนำนะคะ ให้ทาบางๆวันละครั้ง หรือวันเว้นวัน” 1-2หยด อาการดังกล่าวข้างต้นหายไปเอง (~1-2อาทิตย์) ตามด้วยครีมบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้นเท่านั้น พยายามไม่ให้ผิวบริเวณนั้นแห้งเกินไปค่ะ ให้ผิวค่อยๆปรับสภาพแล้วค่อยเพิ่มปริมาณการใช้ตามลำดับจนถึงขนาดปกติ ทางเราแนะนำไปลูกค้าก็ happyกันค่ะ เดือนกลับมาบอกว่าหายแล้วหน้าใสขึ้นด้วย

ใช้ซีรั่มวิตามิน B3 เป็นประจำ ซีรั่มจะกระตุ้นการสร้าง collagen ทำให้ชั้นผิวหนา + แข็งแรงขึ้น ภูมิคุ้มกันต่อสิ่งแวดล้อมจะดีขึ้นค่ะ หน้าจะไม่ค่อยแพ้

3.สิวจะผลักออกมาเยอะเหมือนคนอื่นไหมคะ? —>

กลไกการรักษาสิวของ ซีรั่มวิตามิน B3 เหมือน Retin A, Differin, Benzac, BHA, AHA จะเคลียร์ comedones ใต้ผิว (Comedolytic)  แต่มีข้อดีคือซีรั่มวิตามิน B3ใช้เป็นประจำได้ หน้าไม่บางลงและไวแสง ทำให้ชั้นผิวหนา + แข็งแรงขึ้น ภูมิคุ้มกันต่อสิ่งแวดล้อมจะดีขึ้น

สิวจะผลักออกมาเยอะหรือไม่ขึ้นกับใต้ผิวของแต่ละคน บางคนมีมากบางคนมีน้อย ถ้าเราไม่รู้ว่าใต้ผิวของเรามีของเสียมากหรือเปล่าก็ให้ทาทั่วหน้าบางๆ(1-2หยด )/ครั้ง วันละ 1ครั้ง (อย่าทาเยอะในช่วงแรกๆของการใช้ค่ะ)แล้วดูสภาพผิวของเรา ถ้าสิวไม่ขึ้นก็ใช้ตามปกติได้ แสดงว่าใต้ผิวเราสะอาดแล้ว หน้าก็จะใสไวขึ้นค่ะ

หรือจะรักษาเฉพาะจุดไปก่อนก็ได้ ใช้แต้มตรงสิวเอาค่ะ พอสิวเริ่มบรรเทาให้เริ่มทาทั่วหน้า “บางๆ” วันละ 1ครั้งตอนกลางคืน + แต้มสิวไปเรื่อยๆ

ถ้าสิวไม่ขึ้นอีก (แสดงว่าหน้าไม่ค่อยมี comedonesแล้ว)ให้เริ่มใช้วันละ 2ครั้งได้ ขั้นตอนต่อไปจะเป็นขั้นตอนบำรุงผิวหน้าแล้วค่ะ

4.ปกติสิวจะยุบภายใน 3 วัน ถ้าสิวยังไม่ค่อยยุบ —> ถ้าสิวสุกแล้วให้ช่วยเปิดหัวสิวให้ serumหน่อยค่ะ ใช้เข็ม(เช็ด alcoholแล้ว) สะกิดเบาๆเปิดหัวสิว ล้างหน้าแล้วใช้serumแต้มๆรับรองยุบไวค่ะ

5.บางคน”ฝ้าอยู่ลึกใช้ช่วงแรกๆฝ้าเข้มขึ้น —> อดทนหน่อยค่ะ แนะนำให้ทาครีม collagen ทั่วหน้า ก่อนแต้ม serum “ทุกครั้ง” พยายามไม่ให้ผิวบริเวณฝ้าแห้งเกินไป ให้แต้ม serum ตรงฝ้าวันละครั้งก่อนค่ะ
(ใช้ระยะแรกๆ serumจะดูดฝ้าที่อยู่ลึกๆใต้ผิวขึ้นมาบนผิว หลังจากนั้น serumจะทำให้ฝ้าจางลง ให้ใช้ติดต่อกันไปเรื่อยๆ ฝ้าจะเริ่มจางลงใน 1-2เดือนรับรองได้ เพราะมีคนเป็นแบบนี้มาก่อนค่ะ)

6. คนท้องใช้ได้ไหมคะ? —> ใช้ทาได้ค่ะ วิตามินบี3มีอยู่แล้วในร่างกายค่ะ ปลอดภัยในการใช้ ส่วนประกอบต่างๆสกัดจากพืชค่ะ เป็นสมุนไพรเย็น

7. ทาใต้ตาได้ไหม? —> ได้ค่ะ มีคนเอาserumไปใช้รักษารอยผ่าตัดที่หางตาค่ะ เป็นรอยลึกชัดมาก ใช้แต้มๆหนาๆก่อนนอน ~4 เดือนรอยจางลงมาก ตอนนี้ใช้มา 1ปีแล้วไม่เห็นรอยเลยค่ะ (ใช้กับร่องแก้มได้ด้วยค่ะ จะตื้นลง)

8.ใช้เวลาอีกนานไหมจะเห็นผล —> serumเป็นวิตามินกับสมุนไพรเย็นจะช้าหน่อย แต่จะได้ชั้นผิวที่ใสแล้วก็แข็งแรงด้วย ส่วนใหญ่ภายใน 1เดือนก็รู้ผลแล้วค่ะ บางคนเห็นผลไว แค่ 1อาทิตย์รู้เลยว่าสภาพผิวดีขึ้น บางคนก็จะใช้เวลาหน่อย ~2-3เดือนขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน

9. หากหยุดใช้ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ใช่ไหมคะ —>  ไม่มีค่ะ ใช้serumเป็นประจำ serumจะกระตุ้นการสร้าง collagen ทำให้ชั้นผิวหนา + แข็งแรงขึ้น ภูมิคุ้มกันต่อสิ่งแวดล้อมจะดีขึ้นค่ะ ถ้าหยุดใช้ผิวก็ยังแข็งแรงอยู่ แต่ควรจะใช้ตัวบำรุงผิวอยู่ตลอด ไม่จำเป็นว่าต้องเป็น serum B3 ใช้ตัวอื่นก็ได้ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ผิวเสื่อมไวจากแสงแดด มลภาวะพิษ และอายุที่เพิ่มขึ้นค่ะ

10.รูขุมขนกว้าง —> serumจะเข้าไปค่อยๆละลายสิ่งสกปรกในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนเล็กลงในที่สุดค่ะ serumมีสารแทนนินจากสมุนไพรช่วยสมานผิวด้วยค่ะ

11.หลุมสิว —> serumจะกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อค่ะ ให้ใช้serumแต้มหนาๆแต้มได้บ่อยๆ +แต้มก่อนนอน ประมาณ 1-2เดือนควรจะดีขึ้นมากค่ะ

12.ผิวหน้าชุ่มชื้น เต่งตึง —> ทาserum “บางๆ” ทั่วหน้า serumช่วยhydrateผิวค่ะ ทำให้ผิวที่ขาดน้ำชุ่มน้ำขึ้น ใช้ไปพักหนึ่งผิวจะเริ่มอิ่มน้ำ แต่ถ้าแต้ม”หนาๆ”จะทำให้สิวแห้งค่ะ

(serumB3เป็นสุดยอดของวิตามินรักษาสิวแล้วค่ะ เพราะใช้เป็นประจำได้ หน้าไม่บางลงและไวแสงเหมือนยาสิวตัวอื่นๆ เชื้อก็ไม่ดื้อยาเหมือนการใช้antibioticsไปนานๆ serumรักษาสิวหายมาหลายๆคนแล้ว สิวไม่หายอย่างเดียว หน้าจะใส+ชั้นผิวแข็งแรงขึ้นด้วยค่ะ)

(การวิจัยประสิทธิของวิตามินB3เมื่อเทียบกับhydroquinone ซึ่งผลออกมา B3รักษาฝ้าได้ดีเทียบเท่ากับhydroquinone แต่hydroquinoneใช้มากหน้าจะไวแสงและบางลงค่ะ)

 

เครื่องสำอางควบคุมหมายเลข 50-1-5400095

ข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาด

5 ml, 30 ml